ตำหรับกับข้าวไทย
โดย ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงค์
หนังสือ แม่ครัวหัวป่าก์ นับถือกันว่าเป็นตำราอาหารไทยยุคแรก ๆ ของประเทศไทย แต่งโดย ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภรรยาเจ้าพระยาภาสกรวงค์ (พร บุนนาค) มีบุตรีของท่านคือ คุญหญิงดำรงราชพลขันธ์ (พวง บุนนาค) เป็นผู้ช่วย ได้รับการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ ชุดหนึ่งมี ๕ เล่ม ปัจจุบันจะหาท่านใดมีครบชุดนั้นแสนยาก
หนังสือ “แม่ครัวหัวป่าก์” มีรายละเอียดที่น่าสนใจและควรศึกษา ๔ ประการ คือ
๑. บันทึกประวัติศาสตร์บอกเล่าในช่วงยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีข้อความที่เป็นเกร็ดประวัติศาสตรเกือบ ๒๐ แห่ง ท่านผู้เขียนได้เล่าไว้อย่างน่าอ่าน เช่น ประวัติขนมค้างคาวของเจ้าครอกทองอยู่ว่า เจ้าครอกทองอยู่เป็นพระชายาของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง) ชอบไว้ผมประบ่า คุ้นเคยกับเจ้าครอกวัดโพธิ์ หรือ กรมหลวงนรินทรเทวี พระขนิษฐาของรัชการที่ ๑ ซึ่งทรงมีชื่อเสียงว่าทำขนมจีบอร่อยที่สุด “แผ่แป้งจนแลเห็นใส้…ถึงเนื้อหมูมากกว่ามัน บริโภคได้มาก ๆ ไม่เลี่ยน” และให้ข้อสังเกตเป็นพิเศษว่าเจ้าครอกวัดโพธิ์โปรดทรงภูษาสีแดงตลอดเวลา
อีกตอนหนึ่งกล่าวถึงตำราใข่เจียวในรัชการที่ ๕ ว่าใข่เจียวที่พระองค์เสวยนั้นต้องเจียวให้ใข่ข้างในเป็นยางมะตูม หรือกล่าวถึงน้ำพริกนครบาลตำหรับเจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธ์) เมื่อครั้งเป็นเจ้าพระยายมราช กำกับกรมพระนครบาล หรืองบปลาร้าและตำราผัดปลาแห้งของคุณม่วง ชูโต ว่าแม้เมื่อคุณม่วงเสียชีวิตไปแล้ว สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ยังต้องให้บ่าวไปสืบว่ามีใครทำเป็นอย่างคุณม่วงบ้าง ปรากฏว่าไปได้บ่าวของคุณม่วงมาคนหนึ่งชื่ออำแดงลิ้ม สามารถปรุงผัดปลาแห้งเป็นที่พอใจของสมเด็จเจ้าพระยาฯ ถึงกับมอบรางวัลเป็นเงิน ๕ ตำลึง ผ้านุ่งผ้าห่มอีก ๑ สำรับ
๒.การกล่าวถึงสภาพภูมิ-ประวัติศาสตร์ของกรุงเทพมหานครในสมัยรัชการที่ ๕ โดยเฉพาะบริเฉทว่าด้วยเรื่องผลไม้ และบริเฉททั่วไปว่าด้วยเรื่องตลาดขายของสดต่าง ๆ ถือได้ว่าเป็นการบันทึกสภาพธาามชาติและสิ่งแวดล้อมของสังคมไทยในสมัยเมื่อ ๑ๆๆ กว่าปีมาแล้ว เช่น เงาะต้องเกิดที่ตำบลบางยี่ขัน ลางสาดต้องที่วัดทอง คลองสาน ทุเรียนต้องของบางบน ((คือบางขุนนนท์ในปัจจุบัน) จะมีรสมันมากกว่าหวาน ถ้าของบางล่าง (คือ บางคอแหลมและบางโคล่) จะมีแต่รสหวานเนื้อละเอียด มะม่วงมี ๒๕ สายพันธุ์ มะม่วงต้องปลูกที่ ตำบลท่าอิฐ จังหวัดนนทบุรี แลส้มเขียวหวานในตำราระบุว่าต้องปลูกที่ตำบลบางมด รสหวานสนิท แต่กำลังจะสูญพันธุ์ไปเพราะราษฏรหันมาทำนาเกลือ ปัจจุบันปรากฏว่าส้มเขียวหวานบางมดก็ถึงกาลสูญไปจริง ๆ ในคราวเศรษฐกิจเฟื่องฟูเ้มื่อ พ.ศ. ๒๕๓๑ เพราะราษฏรเจ้าของที่ดินขายที่ดินเพื่อทำหมู่บ้านจัดสรร
หนังสือยังกล่าวต่อไปว่า มังคุดเป็นราชินีแห่งผลไม้คู่กับทุเรียนที่เป็นราชาแห่งผลไม้ ท่านผู้หญิงเปลี่ยนฯ บันทึกไว้ความว่า “มังคุดมีโอชารสที่ปรหลาดรสเปรี้ยวแกมหวาน เมื่อชาวต่างประเทศชาติตะวันตกได้มาพบรสมังคุดในครั้งแรกเป็นพิเศษ แปลกประหลาดกว่าผลไม้ในประเทศหนาว จึงได้ตั้งนามเป็นนางพระยารานีของผลไม้ในทิศตะวันออกประเทศที่ร้อน” ในเรื่องตลาดและอาหารสดนั้นได่มีการบันทึกเป็นหลักฐานไว้อย่างละเอียด ทำให้ทราบว่าราษฏรชาวกรุงเทพมหานครในสมัยนั้นมีสภาพความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง มีตลาดและอาหารสดต่าง ๆ รอบกรุงเทพมหานครอยู่ที่ใดบ้าง ตลาดที่ใหญ่โตมีความสำคัญ เช่นตลาดสำเพ็ง ตลาดน้อย ตลาดบางรัก ตลาดท่าเตียน ตลาดยอด ตลาดพลู ตลาดครองมอญเป็นตลาดเรือ และตลาดเสาชิงช้า
ส่วนเรื่อง อาหารสด ก็ได้ให้ทั้งความรู้และเกร็ดประวัติศาสตร์มากมาย เช่นปลาเทโพเป็นปลาเลี้ยงในบ่อ และเลี้ยงในกระชังแถวบ้านญวน สามเสน ปลาตะเพียนมี ๒ ชนิด อย่างขาวเรียกตะเพียนเงิน อย่างเหลืองเรียกตะเพียนทอง มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยอยุธยา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระโปรดเสวอยปลาตะเพียนมากถึงขนาดมีพระราชกำหนดห้ามราฏรรับประทาน มีเบี้ยปรับตัวละ ๕ ตำลึง ปลากระโห้ตัวใหญ่มาก เฉพาะเพดานปลากระโฌห้นั้นให้เอามาทาเลือตากแดดขายเป็นพิเศษ (สุนทรภู่ได้กล่าวถึงสถานที่ซึ่งเคยเป็นที่ทรงเบ็ดปลากระโห้ของพระเจ้าแผ่นดินไว้ใน นิราศเมืองเพชรว่า อยู่บริเวณเรียกว่าวัดคุ้งตำหนัก อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี) และมีพระราชกำหนดห้ามเช่นเดียวกับปลาตะเพียนและตับปลาหมอเนื่องจากเป็นของที่พระเจ้าแผ่นดินโปรดเสวย
ปลาทูจะมีรสชาติดีต้องจับในเดือน ๑๑ และเดือน ๑๒ เพราะมีรสชาติมัน ปลาโคกตะวันตกชนิดทำเค็มถือว่าเป็นของฝากของกำนัลอย่างพิเศษจากเมืองนครศรีธรรมราช เนื้อกบนั้นขึ้นโต๊ะมีระดับเพราะมีรสชาติเยี่ยมและเนื้อละเอียดยิ่งกว่าเนื้อไก่เสียอีก เนื้อหมูเลี้ยงขายกันในพวกคนจีนหรือคนเวียดนามที่นับถือศาสนาครีสเตียน แต่เดี๋ยวนี้มีเลี้ยงมากที่นครราชสีมาแล้ว (คงไม่แปลกใจทำไมเมืองโคราชในปัจจุบันจึงมีกุนเชียงและอาหารแปลรูปที่เกี่ยวเนื่องกับหมู) อาหารสดที่แปลกประหลาดขาดหายไปจากตำรับกับข้าวของคนไทยสมัยนี้คือ กุ้งตะเข็บ ในตำราว่าเป็นกุ้งน้ำเค็ม บ้างก็เรียกกุ้งมลายู ที่จับได้ที่เมืองสงขลาเรียกว่ากุ้งไม้ ได้พยายามสอบถามคนรุ่นเก่า ๆเพื่อหาความรู้เพิ่มเติมก็ไม่ได้ความแน่ชัด และเป็นที่น่าสังเกตว่าในกระบวนตำรากับข้าวทั้งหลายที่บรรจุในตำราแม่ครัวหัวป่าก์นี้ มีเฉพาะกับข้าวภาคกลางและภาคใต้ ยกเว้นปลาร้าและลาบเท่านั้นที่เป็นของชาวอีสาน ส่วนอาหารทางภาคเนือไม่ได้กล่าวถึงเลย
๓.ขนบธรรมเนียมการปรุงอาหารของไทยในสมัยก่อน ท่านผู้หญิงเปลี่ยนฯ กล่าวว่า การปรุงอาหารของชาวไทยไม่นิยมการใช้ชั่ง ตวง วัด อย่างของชาวยุโรป ได้แต่อาศัยความชำนาญหัดเรียนรู้ด้วยตนเอง สืบทอดกันตามตระกูล ท่านเป็นบุคคลแรก ๆ ที่หัดลองวิธีการนั้นในการประกอบอาหาร โดยอาศัยการเทียบเคียงกับตำราของยุโรป จึงได้รสชาติคงที่ แต่ก็อาจสร้างความรำคาญใจให้แก่บุคคลอื่น ๆ ที่เป็นแม่ครัวมือเก่าบ้างพอสมควร อย่างไรก็ตามท่านผู้หญิงเปลี่ยนฯ ก็ยังยืนยันว่า “การอันนี้ก็เป็นที่เห็นได้อยู่ในผู้ที่แรกจะหัดทำ ควรใช้ ชั่ง ตวงเป็นปริมาณอันดีก่อน”
การ ชั่ง ตวง วัดตามตำราแม่ครัวหัวป่าก์สร้างความสับสนให้แก่คนรุ่นใหม่ในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก ไม่ทราบว่าจะเทียบเคียงอย่างไรกับมาตราส่วนที่กำหนดไว้เป็นบาท สลึง เฟื้อง ไพ ซึ่งต่างจากอัตราในปัจจุบันที่ชั่งเป็นกิโลกรัม กรัม เอานซ์ ปอนด์ ส่วนช้อนคาว ช้อนกาแฟ เราท่านคงทราบดีอยู่แล้ว กรณีนี้หากผู้อ่านอยากจะเทียบน้ำหนักจากตำราแม่ครัวหัวป่าก์เป็นมาตราส่วนปัจจุบัน ก็ขอได้พลิกไปดูเล่มที่ ๓ หน้าที่ ๑-๔๕ นำมาปรับใช้ในการปรุงอาหารได้อย่างง่ายดาย เช่น
๒ ช้อนกาแฟ = ๒ สลึง
๔ ช้อนโต๊ะ (ช้อนคาวก็เรียก) = ๘ บาท
๑ เอานซ์ = ๒ บาท
๑ ปอนด์ = ๓๐ บาทเศษ
๑ แกลลอน = ๒ ชั่ง ๑๕ ตำลึงเศษ
๔. ประวัติการจัดพิมพ์ หนังสือ “แม่ครัวหัวป่าก์” เดิมนับถือกันว่าเป็นตำรากับข้าวที่ได้รับการจัดพิมพ์ที่เก่าที่สุด คือพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ร.ศ. ๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๑) ต่อมามีการพบว่าตำรากับข้าวฉบับโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ชื่อ ปะทานุกรมการทำของคาวของหวานอย่างฝรั่งแลสยาม พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ มีอายุการพิมพ์เก่ากว่าหนังสือตำราอาหาร “แม่ครัวหัวป่ากฺ” จึงเป็นอันยุติว่าหนังสือ “ปะทานุกรมทำของคาวของหวานอย่างฝรั่งแลสยาม” เป็นตำราอาหารฉบับพิมพ์ที่เก่าที่สุด อย่างไรก็ตามหากจะคิดถึงการเขียนตำราอาหารแบบนี้ของท่านผู้หญิงเปลี่ยนฯ ซึ่งพิมพ์อยู่ใน นิตยสารประติทินบัตรแลจดหมายเหตุ ร.ศ. ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๒) แล้วก็อาจจะอนุโลมได้ว่าท่านผู้หญิงเปลี่ยนฯ เป็นคนไทยคนแรกที่เขียนและจัดพิมพ์ตำรากับข้าว
หนังสือแม่ครัวหัวป่าแบ่งเป็น ๕ เล่ม แต่ละเล่มประกอบด้วย ๘ บริเฉท คือ ทั่วไป หุงต้มข้าว ต้มแกง กับข้าวของจาน เครื่องจิ้มผักปลาแกล้ม ของหวาน ขนม ผลไม้ และเครื่องว่าง ในการพิมพ์แม่ครัวหัวป่าก์ ไก้กล่าวท้าวความไปถึง พ.ศ. ๒๔๓๒ เมื่อมีการออกนิตยสารรายเดือนชื่อ “ปะติทินบัตรแลจดหมายเหตุ ร.ศ. ๑๐๘” จำนวน ๖ ฉบับ (ซึ่งสำนักพิมพ์ต้นฉบับได้นำมาพิมพ์ซ้ำเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒แล้ว) ในนิตยสารนี้ได้มีการลงบทความการปรุงอาหารของท่านผู้หญิงเปลี่ยนฯด้วยและเป็นที่นิยมชมชอบของผู้อ่านทั่วไป จนกระทั่งต้องเพิ่มหน้าพิเศษให้แก่คอลัมน์นี้ในเดือนต่อ ๆ มา แต่นิตยสารฉบับนี้มีอายุสั้น จัดพิมพ์ได้เพียง ๖ เดือน ๖ ฉบับ ก็ต้องยุติลง
ต่อมาเมื่อคราวท่านผู้หญิงเปลี่ยนฯ ทำบุญฉลองอายุครบ ๖๑ ปี และฉลองวาระสมรสครบ ๔๐ ปี ในวันที่ ๔ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๑) ท่านได้พิมพ์ตำราแม่ครัวหัวป่าก์แจกเป็นของชำร่วยจำนวน ๔๐๐ ฉบับ เป็นที่เลื่องลือเสาะแสวงหากันทั่วไป จนท่านต้องดำริให้จัดพิมพ์ขึ้นใหม่อีกคราวหนึ่ง โดยทยอยออกมาทีละเล่ม และมอบหมายให้นายเปียร์ เดอ ลา ก๊อล เพชร์เป็นบรรณาธิการ นายเพชร์ได้ทำหน้าที่อยู่เพียง ๒ ฉบับ คือเล่มที่ ๑ และเล่มที่ ๒ ก็มีอันต้องพ้นหน้าที่ไป ในเล่มที่ ๓ จึงได้บรรณาธิการคนใหม่มาแทนเป็นการชั่วคราวชื่อ ปอล ม, กลึง ส่วนเล่มที่ ๔ นั้น ท่านผู้หญิงเปลี่ยนฯเป็นบรรณาธิการเองพร้อมทั้งเขียนแจ้งความว่า “ด้วยเอดิเตอร์หลบหนีตามผู้หญิงไป…ส่วนลูกที่ดี ฉันให้เป็นผู้เก็บรวบรวมทำตำราขึ้นไว้ก็มีเรือนไป” ต่อมาในเล่มที่ ๕ จึงมอบให้นาย ทดบ้านราชทูตเป็นบรรณาธิการแทนพร้อมทั้งได้ตัดบริเฉทที่ ๘ คือ เครื่องว่างออก เนื่องจากได้เพิ่มตำราอาหารในบริเฉทอื่น ๆ เข้าไปอีกถึง ๕ ยก
จากเล่มที่ ๕ ทำให้ทราบว่าคนทำหนังสือในสมัยปัจจุบันกับสมัยเมื่อ ๑๐๐กว่าปีมาแล้วประสบปัญหาที่แทบจะไม่แตกต่างกันเลย คือมีคนซื้อน้อย โดยมีผู้ลงชื่อรับไว้เพียง ๑๗๕ รายเท่านั้น ยอดพิมพ์ขายไม่ได้มากเหมือนเรื่องจักร ๆ วงค์ ๆ ซึ่งเป็นเรื่องบันเทิงใจทั้งที่เรื่องประเภทนั้นมีประโยชน์ค่อนข้างน้อย ถึงตรงนี้จึงมีประเ็นที่น่าสนใจว่า ทำไมตำราแม่ครัวหัวป่าก์ฉบับพิมพ์ครั้งแรกจึงหายากแสนยาก ส่วนหนึ่งคงเพราะพิมพ์น้อยและแจกเป็นที่ระลึกอยู่ในวงจำกัดเฉพาะผู้ไปร่วมงานทำบุญและฉลองวาระสมรส หากจะคาดเดาจากประสบการณ์ในการสะสมหนังสือเก่า พอประเมินได้ว่าคงจะพิมพ์อยู่ในราว ๕๐๐ ฉบับเท่านั้น
พ.ศ. ๒๔๗๐โรงพิมพ์ห้างสมุดที่สำเพ็งได้รับอนุญาตให้จัดพิมพ์ใหม่เป็นครั้งที่ ๒ จำนวน ๕ เล่มชุดเช่นกันในคราวนี้เข้าใจว่าจะมีการพิมพ์เป็นจำนวนมากเพราะมีผู้ขอนำไปแจกเป็นที่ระลึกในงานศพต่าง ๆ หลายราย เช่น พระสัทธาพงศ์ พิรัชพากย์ (ต่วย สัทธาพงศ์) พิมพ์แจกในงานปลงศพคุณหญ๗ิงประดิษฐอมรพิมาน (สุ่น อิศรศัดิ์ ณ อยุธยา) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ ตระกูลเปล่งวานิชพิมพ์แจกในงานฌาปณกิจศพนายอั๋น เปล่งวานิช เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๖
พ.ศ. ๒๔๙๕ สำนักพิมพ์ผดุงศึกษาที่เวิ้งนาครเกษมได้รับอนุญาตให้พิมพ์จำหน่ายอีก นับเป็นการพิมพ์ครั้งที่ ๓ คราวนี้จัดพิมพ์เล่มเดียวจบและได้ตัดการ ชั่ง ตวง วัด ตามแบบโบราณออก มีคุณหญิงราชพลขันธื (พวง บุนนาค)เป็นผู้เขียนคำนำ อีกทั้งยังจัดรูปแบบของเนื้อเรื่องใหม่ โดยแยกประเภทของกับข้าวเป็นหุงต้มข้าว แกงกับข้าว เครื่องจิ้ม ของหวาน เครื่องว่าง และผลไม้เป็นที่น่าสังเกตว่าการแปลงมาตราชั่ง ตวง วัด อย่างเก่ามาเป็นอย่างใหม่นั้นทำได้ไม่ครบชุดของรายการอาหาร
พ.ศ. ๒๕๐๑ สำนักพิมพ์คลังวิทยา ถนนเฟื่องนครได้รับอนุญาตให้พิมพ์จำหน่ายหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์อีก นับเป็นการพิมพ์ครั้งที่ ๔ (จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม) โดยมีนางสมรรคนันทพล (จีบ บุญนาค) “หลานแม่ครัวหัวป่าก์” ผู้ได้รับมอบฉันทะจากคุณหญิงดำรงราชพลขันธ์ (พวง บุนนาค) เป็นผู้อนุญาตให้พิมพ์และเขียนคำนำ การพิมพ์ครั้งนี้โดยได้ตัดการชั่ง ตวง วัด แบบโบราณออก แล้วเพิ่มเติมการชั่ง ตวง วัดแบบสมัยใหม่เข้าไปแทนคือใช้ ถ้วย ช้อนโต๊ะ ช้อนชา ช้อนหวานอีกทั้งยังจัดรูปแบบของเนื้อหาตามฉบับการพิมพ์ครั้งที่ ๑ และ ๒ คือ พิมพ์ตามลำดับเล่ม ๑ จนถึงเล่ม ๕ แต่ละเล่มแยกเป็นเรื่องทั่วไป หุงต้มข้าว ต้มแกง กับข้าวของจาน เครื่องจิ้มผักปลาแกล้ม ของหวานขนม ผลไม้และเครื่องว่าง ทั้งยังพิมพ์เป็นรเล่มเดียวจบ หนาถึง ๖๓๕ หน้า
พ.ศ. ๒๕๑๔ ตำรา “แม่ครังหัวป่าก์” ก็ได้รับการพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าจอมพิศว์ในรัชการที่ ๕ ผู้เป็นบุตรีของท่านผู้หญิงเปลี่ยนฯ โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทาน นับเป็นการพิมพ์ครั้งที่ ๕ ขนาดเล่มกว้างยาวเท่าเดิมเล็กน้อยและมีการจัดรูปแบบสารบาญใหม่ กล่าวคือจัดอาหารเป็นชุด ๆ
แต่ละชุดสามารถปรุงเป็นอาหารได้ ๑ มื้อ โดยแบ่งเป็น ๓ หมวด คือกับข้าว ๕ อย่าง ของหวาน ๒ อย่าง อาหารว่าง ๒ อย่าง รวมเป็น ๙ อย่าง ต่อ ๑ ชุด จึงแบ่งได้เป็น ๓๗ ชุด และยังเพิ่มเติมการชั่ง ตวง วัดแบบสมัยใหม่ คือ ช้อนโต๊ะ ช้อนชา เมล็ด ผล น้ำหนักกิโลกรัม ตลอดทุกรายการอาหาร
การจัดพิมพ์ครั้งนี้มีรายละเอียดที่แตกต่างจากการพิมพ์ครั้งอื่น คือ มีอาหารหลายรายการที่ไม่ปรากฏอยู่ในฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑ เช่น ขนมสำปะนี ยำกระทืออ่อน ยำไก่วรพงษ์ อีกทั้งมีข้อเขียนปิดท้ายเล่มแต่งเป็นโคลงกลอนสำหรับเป็นเครื่องเตือนใจแก่ผู้เป็นแม่บ้านแม่เรือนอีกด้วย ตำหรับที่เพิ่มเติมนี้เป็นของ “หลานแม่ครัวหัวป่าก์ คือนางสมรรคนันทพล (จีบ บุนนาค) วึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการพิมพ์ครั้งนี้
พ.ศ. ๑๕๔๕ สมาคมกิจวัฒนธรรม โดยการสนับสนุนของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได่นำต้นฉบับหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๕๒ ทั้ง ๕ เล่ม ของพลตรี ม.ร.ว.ศุภวัฒย์ เกษมศรี และคุณนฤนาถ รัตนโชติวงศ์กุล มาสแกนและจัดพิมพ์ตามรูปแบบเดิมทุกประการ เป็นจำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม บรรจุในกล่องสวยงาม และได้รับการต้อนรับจากผู้ชำนาญการด้านอาหารอย่างล้นหลาม จนหมดไปจากตลาดอย่างรวดเร็ว นับเป็นการพิมพ์ครั้งที่ ๖
แม่ครัวหัวป่าก์ พิมพ์ครั้งที่ ๕
พ.ศ. ๒๕๕๔ สำนักพิมพ์ต้นฉบับได้รับอนุญาตจากนางสาวจรรมพันธ์ บุนนาค ทายาทผู้ครอบครองลิขสิทธิ์ของคุณหญิงดำรงราชพลขันธ์ (พวง บุนนาค)นำมาพิมพ์เพื่อจำหน่ายในรูปแบบเดิมทุกประการ นับเป็นการพิมพ์ครั้งที่ ๗
พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงนางมาลินี ชมเชิงแพทย์ ต.ช. เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยการพิมพ์ต้นฉบับขึ้นใหม่ และปรับแก้ภาษาให้เป็นปัจจุบัน มีขนาดเท่ากับหนังสือ ๘ หน้ายก (กระดาษเอสี่) นับเป็นการพิมพ์ครั้งที่ ๘
สำหรับการพิมพ์ครั้งที่ ๙ ในพ.ศ. ๒๕๕๗ นี้ สำนักพิมพ์ได้ปรับปรุงรูปแบบใหม่ทั้งหมด ได้แก่การพิมพ์ต้นฉบับหนังสือขึ้นมาใหม่ ปรับแก้ภาษาให้เป็นปัจจุบัน และกำหนดขนาดของหนังสือเป็น ๑๖ หน้ายก (พ็อคเก็ตบุ๊ค) เพื่อให้สามารถจำหน่ายได้ในราคาย่อมเยา และนับเป็นผลงานลำดับที่ ๓๖ ที่สำนักพิมพ์ต้นฉบับ
ท้ายที่สุดขอกล่าวถึงประวัติของท่านผู้เขียนเพื่อความสมบูรณ์ของหนังสือท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ เป็นบุตรีคนโตของ นายสุดจินดา (พลอย ชูโต)กับคุณนิ่ม สวัสดิ์ – ชูโต นับเป็นราชินิกุลบางช้าง เกิดเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๐ มีน้องชาย ๖ คน น้องสาว ๑ คน สมรสกับเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) มีบุตรธิดา ๖ คน คือ เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ (เพ่ง), ผล, เจ้าจอมพิศว์ในรัชการที่ ๕, นายราชาณัตยานุหาร (พาสน์), หม่อมพัฒน์ในพระราชวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) และคุณหญิงพวง ภรรยาของพระยาดำรงศ์ราชพลขันธ์ (คอน บุนนาค)
นายชูพาสน์ ชูโต หลานชายของท่านผู้หญิงเปลี่ยนฯ ได้ให้รายละเอียดบางประการกับคุณหญิงทองก้อน จันทวิมล ว่าท่านผู้หญิงเปลี่ยนฯ มีความชำนาญในการประกอบอาหารคาวหวาน เย็บปักถักร้อย ประดิษฐ์และตกแต่ง เป็นผู้ริเริ่มทำลูกชุบให้ดูเหมือนของจริงถึงขนาดประดิษฐ์เป็นกระถางต้นไม้ ซึ่งรับประทานได้ทั้งหมด และลายปักรูปเสือลายพาดกลอนเคยได้รับพระราชทานรางวัลจากรัชการที่ ๕ กับส่งไปประกวดในระดับโลกได้รับรางวัลที่ ๑ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับเงินรางวัลหลายพันดอลล่าร์ เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งสภาอุนาโลมแดง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ในคราวเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ซึ่งปัจจุบันคือสภากาชาดไทย เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาล ที่โรงศิริราชพยาบาลเป็นต้น ท่านสิริอายุได้ ๖๕ ปี โดยมีข้อความประกาศไว้ในหนังสือราชิจจานุเบกษาเล่มที่ ๒๘ ฉบับวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๑๓๐ หน้า ๒๐๕๐ ว่า “ป่วยเป็นแผลบาดพิษถึงแก่อนิจกรรม”
แม่ครัวหัวป่าก์ พิมพ์ครั้งที่ 6
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น